(อ่านแล้ว 264 ครั้ง)
รู้จัก “โรคแพนิค” โรคที่ไม่ได้มีแค่นิสัยขี้ตกใจ
จากสภาวะปัจจุบันที่มีสถานการณ์ความรุนแรงรอบตัวทั้งจากสังคม และภายในครอบครัว การเสพข่าวสารเหล่านี้ทำให้เกิดความเครียดสะสม มีโอกาสเกิดโรคแพนิคสูงขึ้น ดังนั้นหากคุณเริ่มรู้สึกรับมือกับความรู้สึกตัวเองไม่ได้ หรือหาคำตอบจากอาการดังกล่าวไม่พบ มาที่ ศูนย์ Let's Talk รพ.เปาโล พหลโยธิน เพื่อรับคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งทางออกที่ช่วยประเมินสาเหตุ เพื่อหาทางออกร่วมกันได้
โรคแพนิค (Panic Disorder) ถือเป็นอีกโรคหนึ่งที่ได้รับความสนใจในยุคปัจจุบัน ยิ่งในยุคข่าวสารบ้านเมืองไปไวมาไวแบบนี้ อาการตื่นตระหนกตกใจก็เกิดขึ้นถี่ยิ่งกว่าดอกเห็ด แต่รู้ไหมว่าอาการที่เราชอบพูดกันว่า “อย่ามาแพนิคน่ะ” แท้จริงแล้วมันคือโรคที่เกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติ (Automatic Nervous System) ทำงานผิดปกติ และโรคแพนิคนี้ก็ไม่ใช่แค่นิสัยขี้ตระหนกตกใจ อย่างที่ชาวเน็ต ชาวโซเชียลยุคนี้เป็นกันด้วย
โรคแพนิค หรือ Panic Disorder คืออะไร
โรคที่เกิดจากฮอร์โมนลดหรือเปลี่ยนแปลงกระทันหัน ทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ เหมือนไฟฟ้าลัดวงจร ระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของร่างกายในหลายๆ ส่วนจึงเกิดอาการหลายอย่างร่วมกัน เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก หายใจไม่ทัน ท้องไส้ปั่นป่วน วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม และเป็นอาการที่เกิดขึ้นฉับพลันโดยที่ไม่มีสาเหตุหรือมีเรื่องให้ต้องตกใจ นั่นทำให้บางคนที่มีอาการมักคิดว่าตนเองเป็นโรคหัวใจ และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และผู้ป่วยโรคแพนิคมักจะรู้ตัวว่าเป็นโรคแพนิกก็ต่อเมื่อมีอาการดังกล่าวไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็ค แล้วพบว่าหัวใจแข็งแรงเป็นปกติ แพทย์จะสงสัยและอาจวินิจฉัยว่าเป็นโรคแพนิก
อาการของโรคแพนิค
ถึงจะไม่อันตราย...แต่ก็ต้องรักษา
โรคแพนิครักษาได้ด้วยการทานยาเพื่อปรับสมดุลของสารเคมีในสมองที่ผิดปกติ การตรวจเลือกหาสาเหตุที่เกิดทางด้านร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ หรือรักษาด้วยการทำจิตบำบัดซึ่งอาจหาต้นเหตุของความกลัวได้ แต่ผู้ป่วยก็สามารถลดความวิตกกังวลของตนเองได้เช่นกัน เช่น การฝึกการหายใจเพื่อควบคุมสติ เมื่อเกิดอาการ หรือควบคุมอาหารบางประเภทที่กระตุ้มให้อาการกำเริบอย่างคาเฟอีนหรือน้ำอัดลม
การรักษาที่ได้ผลดีคือการรักษาแบบองค์รวม นอกจากรับประทานยาอย่างต่อเนื่องแล้ว จำเป็นต้องมีการรักษาทางจิตใจควบคู่ไปด้วย โดยให้ความรู้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบำบัด ปรับแนวคิด ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยอยู่ร่วมกับโรคนี้ได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ ให้พยายามพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ผ่อนคลายจากความเครียดและความวิตก ดูแลจิตใจตัวเองให้เข้มแข็งมีความสุขกับทุกวันและดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม
เริ่มต้นดูแลตัวเองแบบง่ายๆ ด้วยการงดพฤติกรรมเหล่านี้